เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ ก.พ. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา ศาสนาของเรามีความสำคัญ แต่ถ้าผู้ที่ปฏิบัติถึงธรรมแล้วนะ มันสำคัญทุกวันน่ะ แต่ของเรานี่มันจมอยู่ในกิเลสของเราเองไง วันปกติเราเห็นเป็นวันธรรมดา วันสำคัญน่ะสำคัญทุกวัน วันนี้วันสำคัญทางศาสนา มันเป็นผลงานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันมาฆบูชา สงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์เป็นเอหิภิกขุ คือว่าพระพุทธเจ้าบวชให้ บวชให้เหมือนเราคลอดลูก เราออกลูกมา เรามีลูกแล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด คือลูกปฏิบัติแล้วประสบความสำเร็จทั้งหมด เรานะ เรามีลูก เราอยากปรารถนาให้ลูกเราเป็นคนดีทั้งหมดเลย แล้วลูกเราเป็นคนดีทุกคนไหม

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เอหิภิกขุ” คือบวชให้เอง เป็นอุปัชฌาย์ เป็นคนบวชให้เอง เป็นพ่อ เป็นศาสดา แล้วลูกศิษย์ปฏิบัติได้เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด สิ่งที่เป็นพระอรหันต์น่ะคือผลงานไง ผลงานว่าศาสนามีความเป็นจริง

เราพูดถึงมรรค ผล นิพพานนะ พวกเราจะไม่เชื่อ เพราะว่ามันเป็นความสุดเอื้อม แต่ถ้าเป็นความสุดเอื้อม ศาสนามีไว้ทำไม ศาสนามีไว้เพื่อแก้ทุกข์ใช่ไหม ในเมื่อมีความทุกข์ เราเกิดมา ทุกข์มาประจำหัวใจใช่ไหม เพราะคนเกิดมีอวิชชาเกิดมากับเรา ศาสนามาแก้ทุกข์ แล้ว ศาสนาเป็นสิ่งที่แก้ทุกข์ แล้วบอกศาสนาทำไม่ได้ บอกว่ามรรค ผล นิพพาน ไม่มี ถ้ามรรค ผล นิพพาน ไม่มีแล้วศาสนามีไว้ทำไม

ผลงานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ วันนี้วันมาฆบูชา ทางวิทยาศาสตร์ก็พยายามตีความกันว่า “มันเป็นนักขัตฤกษ์ มันเป็นวันจันทร์เต็มเดือน มันมาโดยฟลุ๊ค” ตีความกันอย่างนั้นนะว่าเป็นการบังเอิญไง แต่มันไม่เป็นความบังเอิญหรอก

เรานะ ลูกที่ดี เราจะรักพ่อรักแม่ เราจะมีความกตัญญูกตเวที เรามีความสุขสิ่งใด เราจะคิดถึงพ่อแม่เรา เราอยากให้พ่อแม่เราได้รับสิ่งนี้ สิ่งความสะดวกอย่างนี้.. พระอรหันต์ทุกองค์ เป็นพระอรหันต์มาได้อย่างไร สิ่งที่เป็นพระอรหันต์มานี่ ใครเป็นคนสอนมา มันมีความรำพึงรำพันคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ พอมีความคิดถึงพ่อถึงแม่ เห็นไหม ไปเคารพบูชาไง

สิ่งที่เป็นความดึงดูดนะ เพราะมันเป็นเครื่องแสดงออก เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้เป็นเครื่องแสดงออกว่าพระอรหันต์ ศาสดามีบารมีมากน้อยแค่ไหน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มา มีจาตุรงคสันนิบาตถึง ๒ หน บางองค์ถึง ๒ หน บางองค์หนเดียว ดูสิ พระพุทธเจ้าบางองค์อายุ ๘๐,๐๐๐ ปี แล้วสงฆ์ที่มาร่วมประชุมกัน ๘๐,๐๐๐ องค์

นี้ ๑,๒๕๐ องค์ มันจะเป็นการบอกว่าเป็นการสร้างมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมว่า “เราวาสนาน้อย อายุเราก็ ๘๐ ปี” สิ่งที่จาตุรงคสันนิบาตก็น้อย สิ่งที่น้อยนะ คำว่า “น้อย” น้อยนี่เพราะอะไร เพราะ ๔ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าท่านสร้างบุญบารมีมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สิ่งที่สร้างมาแต่ละอสงไขยมากกว่าเท่าตัว ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มากกว่าเท่าตัว

คำว่า “อสงไขยหนึ่ง” คือว่านับไม่ได้หนหนึ่ง นับไม่ได้หนหนึ่ง แล้วนับไม่ได้คือการเกิดการตายนับไม่ได้หนหนึ่ง แล้วสร้างบุญญาธิการมา คือว่าเหตุสร้างมามากกว่า สิ่งที่สร้างมามากกว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาไม่มีเหตุไม่มีผล นี่มันมีเหตุมีผลของมันตลอดเวลา ไม่มีอะไรได้มาฟรี สิ่งที่ทำมานะ พระหรือผู้ปฏิบัติน่ะ ถ้ามีบุญกุศลมา เวลาปฏิบัติมามันจะมีเชาวน์ปัญญา มันจะมีสิ่งที่เตือนใจตลอดเวลา แต่ถ้าพระเรา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเกิดมา คนเหมือนคน ประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันด้วยจิต ดูสิ ดูธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เอหิภิกขุ” บวชเอง แล้วสอนเอง

แล้วเวลาพระเทวทัตล่ะ พระเทวทัตคิดจะปกครองสงฆ์ คิดจะขอพรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๕ อย่าง คือว่าให้พระต้องบิณฑบาตเป็นวัตร ห้ามอยู่กุฏิให้อยู่โคนไม้ตลอด ไม่ให้ฉันเนื้อสัตว์ ถ้ามองทางโลกก็ เอ้อ มันดี มันเข้มข้นดี แต่พระพุทธเจ้าบอก “ไม่ได้” เพราะพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ พระเทวทัตเป็นปุถุชน คำว่า “พระอรหันต์” มันจะมองออกหมดว่าคนเราจริตนิสัยของคนมันหลากหลาย ความชอบของคนหลากหลาย บารมีของคนหลากหลาย ความหลากหลายนี่ต้องให้เขามีโอกาส

“ถ้าผู้ใดสมัครใจ เราเห็นด้วย แต่ผู้ใดไม่สมัครใจ ไม่บังคับ”

คำว่า “ไม่สมัครใจ” บางคนลูกเรา ถ้าลูกเราเกิดมา เราพยายามจะให้เขาดีน่ะ แต่เขาก็ดื้อของเขาไปอย่างนั้นน่ะ มันดื้ออยู่อย่างนั้นน่ะ มันดื้ออยู่ข้างใน นี่เราจะบังคับโดยธรรมวินัย เขาต้องมีความสมัครใจของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาต

ปรมาณูนะ นักวิทยาศาสตร์เขาคิดปรมาณูเขาคิดมาเพื่อสันติ สิ่งที่เป็นสันติสร้างจะเป็นประโยชน์มาก นักวิทยาศาสตร์พอคิดได้แล้วเขาวิตกกังวลนะ ว่าปรมาณูถ้าเอาไปทำระเบิด มันจะทำลายมาก นี่เขาวิตกกังวลนะ เทคโนโลยีทุกอย่างที่คิดมานี่ คิดมาเพื่อประโยชน์กับโลก แต่พวกใช้ไปในทางที่ผิด เอาเทคโนโลยีมาทำประโยชน์กับเขา อย่างไอที เขาทำเพื่อประโยชน์กับการสื่อสาร แต่เขาก็เอาไปเพื่อเป็นการฉ้อโกงกัน

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมา เอหิภิกขุ ๑,๒๕๐ องค์เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย เป็นผู้ที่ใฝ่ดี ถ้าผู้ที่ใฝ่ไม่ดี ธรรมะเหมือนกัน แต่ปุถุชนเอาไปใช้ ปุถุชนเอาไปใช้มันก็เพื่อหาผลประโยชน์ใช่ไหม แต่ของเราเวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราเป็นชาวพุทธน่ะ กิเลสเราคือสิ่งที่คิดไม่ดีกับเรา ธรรมะจะเกิดกับเราเป็นชั่วครั้งชั่วคราว นี่มันมีเหตุมีผลไง เราใช้ตัวเรา วางใจให้เป็นกลางแล้วศึกษา อย่าเอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง “อย่าเอนเอียง”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “กาลามสูตร” พูดขนาดนี้นะ อย่าเชื่อว่าพระพุทธเจ้าสอน อย่าเชื่อว่าเป็นอาจารย์เราสอน อย่าเชื่อว่าคิดแล้วมันเป็นไปได้ อย่าเชื่อว่าเราทำแล้วจะอนุมานแล้วจะเป็นอย่างนั้น อย่าเชื่อ! อย่าเชื่อ! ถ้ามันยังไม่เป็นความจริง พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใจเป็นธรรม

แต่ถ้ามันเป็นกิเลส มันอ้างน่ะ มันอ้างสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับมันทั้งหมดเลย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรมาณูเพื่อสันตินะ คำว่า “สันติ” ดูสิ โรงงานไฟฟ้าปรมาณู เวลาเขาใช้ขึ้นมา เขาต้องดูแลรักษาขนาดไหน เพราะถ้าพูดถึงรังสีต่างๆ มันหลุดออกมา ยุ่งมากเลยนะ ในการประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาใจของเราไว้ เราจะต้องลงทุนลงแรง เราจะต้องตั้งสตินะ สิ่งที่เราทำทานกันนี่ เราสละทานกันเพื่ออะไร เพื่อให้ใจนี้เปิดกว้าง การเสียสละให้ความสุขทุกๆ คนน่ะ ใจมันจะมีความสุขขึ้นมา

ถ้าเราพยายามจะสงวนของเราไว้ ทุกอย่างสงวนของเราไว้ มันไม่เป็นประโยชน์หรอก เพราะคนใช้นะมันใช้ มักน้อยสันโดษ สิ่งที่เรามีอยู่เราใช้เราพอประมาณ แล้วเราเจือจานคนอื่น คำว่า “เจือจาน” นั่นน่ะบารมีเกิดตรงนั้น คำว่า “บารมี” บารมีเกิดมาจากอะไร? บารมีเกิดจากใจที่เป็นสาธารณะ จิตใจที่เป็นประโยชน์จะเป็นบารมีขึ้นมา จิตใจที่มีตระหนี่ถี่เหนียว แต่พยายามจะสร้างว่าจะเป็นบารมี บารมีของใครน่ะ บารมีกิเลสนะ

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์กว่าเขาจะสร้างขึ้นมาได้ เขาต้องป้องกันความปลอดภัยเต็มที่ กว่าพระปฏิบัติแต่ละองค์ เอหิภิกขุ แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์น่ะ จำกัดไอ้กิเลสของเรา เราจะดูแลของเราอย่างไร มันต้องลงทุนลงแรงนะ เราคิดกันเองนะ เวลาปฏิบัติแล้วมันจะมีความสะดวกสบาย มันจะมีความสุข มันจะเหาะเหินเดินฟ้า อันนั้นมันเพ้อเจ้อ เพ้อเจ้อทั้งนั้นน่ะ แต่ความจริงเราต้องบังคับมัน เราต้องบังคับมันคืออะไร มันคือความคิดชั่ว สิ่งที่คิดชั่วเราต้องบังคับมัน เราต้องตั้งสติมัน ไม่ให้มันทำ

สิ่งใดที่คิดดี ปรมาณูเพื่อสันติ เราต้องส่งเสริม ความส่งเสริม การกระทำอย่างนี้ มันต้องลงทุนลงแรงไหม การประพฤติปฏิบัตินะ ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิจะเกิดขึ้น ปัญญาจะเกิดขึ้น นี่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่ปัญญาของการรู้จริง ปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วทอดอาลัยนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตรียมตัวพร้อมมานะ ดูสิ เตรียมตัวพร้อมมาน่ะ พระโพธิสัตว์เตรียมตัวพร้อมมาขนาดไหน จะมารื้อสัตว์ขนสัตว์ ขนาดจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เตรียมตัวพร้อม เตรียมตัวพร้อมมายังทอดอาลัยว่ามันลึกลับ ลึกลับคือว่ามันเป็นคนละมิติกับความคิดเรา

ความคิดของเรานี่ความคิดของโลก มิติของเรา ความคิดจากเรา โลกียปัญญา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่คิดแบบมิตินี้ มันคิดอีกมิติหนึ่ง แต่มิติหนึ่งเกิดจากอะไร เกิดจากต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา มันไม่มีสิ่งเข้าไปเจือปน มัน คือกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรามันเข้าไปเจือปนมัน นี่ถ้าธรรมมันเกิด

ธรรมมันเกิด เวลาเขาพูดกัน ดูสิ บอกว่าเวลาสว่างโพลง.. สว่างโพลง.. เราก็อยากได้อย่างนั้น สว่างโพลงนะ กว่ามันจะสว่างโพลง โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์กว่าจะทำงานได้ กว่าจะใช้พลังงานได้ เราลงทุนลงแรงแค่ไหน สว่างโพลงคือพลังงานที่ออกมานั้น แต่กว่าเราจะสร้างโรงงานขึ้นมา เราต้องละเอียดอ่อนขนาดไหน นี่เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติเราจะเอาแต่ได้ๆ นั่นเรื่องของกิเลสหมดนะ กิเลสมันจะทำให้เรา.. หนึ่งท้อแท้ ทำแล้วไม่ได้ผล หรือทำแล้วมันลำบากไปหมด แล้วก็โทษนะ โทษธรรมะ ธรรมของพระพุทธเจ้าว่าทำแล้วจะได้เป็นประโยชน์ เสียสละแล้วได้บุญๆ ทำไมเราทำบุญแล้วมันทุกข์ขนาดนี้

นี่ทำบุญยังทุกข์นะ แล้วถ้าไม่ทำมันจะไปไหน?

เพราะการกระทำมันมีการดึงไว้ วัวเราผูกไว้กับหลัก นี่ก็เหมือนกัน ใจเราเวลาทุกข์ยาก เราผูกไว้กับศาสนา รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผูกมันไว้ ถ้าผูกมันไว้ มันยังทำความดีอยู่ ถ้าไม่ผูกมัน มันเตลิดเปิดเปิงไปนะ นี่ทุกข์มันทุกข์อยู่แล้ว เพราะทุกข์ คนเกิดมา “ชาติปิ ทุกขา.. ชาติการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง” การเกิดคือมีสถานะ มีสถานะแล้วมันต้องมีสิ่งรองรับ ถ้าไม่มีสถานะความเกิด อะไรไปรองรับความทุกข์ สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาน่ะมันทุกข์อยู่แล้ว แต่ทุกข์อันนี้ ถ้าพูดถึงผู้ที่เห็นในวัฏฏะนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปิดโลกธาตุ สวรรค์ ปัจจุบันนี้ กับนรก เห็นกันหมดเลย ถ้าเราเห็นนรกสวรรค์ เราจะว่าเราปัจจุบันนี้ดีที่สุดเลย เราดีกว่าเขาเยอะ เรามีโอกาสเยอะ

ทุกข์! ทุกข์เพราะเรายึด ทุกข์เพราะเราน้อยเนื้อต่ำใจ ถ้าเราไม่น้อยเนื้อต่ำใจนะ มั่งมีศรีสุข ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน แต่ถ้าเราพอของเรา “พอ!” เพราะสิ่งนี้เป็นวิบาก เราทำมาอย่างนี้ ถ้าเราไม่ทำมานะ เหตุผลน่ะมันมี ดูสิ คนเราประกอบสัมมาอาชีวะ บางคนจะประสบความสำเร็จ จะมีคนเกื้อหนุนตลอดเวลา เพราะเขาได้ทำของเขา

ถ้าเราได้ทำบุญกุศลของเรานะ “กลิ่นของศีลหอมทวนลม” กลิ่นของศีลของธรรมนี่มันหอมทวนลม กลิ่นของดอกไม้ กลิ่นของเกสรมันหอมไปตามลม นี่การกระทำของเรา ทำคุณงามความดีมันจะมีคนจุนเจือ มีคนช่วยเหลือ เพราะคนดี คนดีอย่างไรก็ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ มันเป็นสัจธรรม ไม่ใช่ของเราไปนอนอยู่แล้วจะให้เกลือกกลั้วกับไฟแล้วจะไม่ไหม้...มันไหม้หมดน่ะ เพราะอะไร เพราะเราคิดกันเองไง

เราคิด เราก๊อบปี้ เราอยากให้เป็นอย่างนั้น....ไม่ต้อง มันเป็นสัจจะความจริง

“กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน” นิสัยใจคอที่เราเกิดมา เพราะการกระทำของเรา การกระทำคิดแล้วคิดเล่า ย้ำคิดย้ำทำ มันจะทำจนเป็นนิสัย จนเป็นความยึดติดของใจ แต่ถ้าเราเสียสละ มันเสียสละมัน พอสิ่งที่มันยึดติด มันปล่อยวางๆ ปล่อยวางไป เราทำมาเองนะ สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดมันถึงเป็นจริตเป็นความเชื่อของเรา แล้วข้อวัตรปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยจะดัดแปลงเรา ดัดแปลงเรานะ

สิ่งที่เป็นความดี นี่ธรรมะเพื่อสันติ กว่าจะสันติเราต้องต่อสู้กับความฟุ้งซ่าน ความกระเพื่อมในใจ มันจะสันติได้ “สันติธรรม” ธรรมนี่สันติมาก

วันนี้วันมาฆบูชา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “เราจะไม่ทำชั่วต่างๆ ใดๆ เลย เราจะทำแต่คุณงามความดี แล้วทำจิตให้ผ่องแผ้ว” นี่หัวใจของศาสนา

เราทำที่เรา โรงไฟฟ้านิวเคลียร์คือหัวใจของเรา คือเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา ถ้าเราเอาใจไว้ในอำนาจของเรานะ “กลิ่นของศีลมันหอมทวนลม” พลังงานของนิวเคลียร์สันติ มันจะเป็นประโยชน์มาก ทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยพลังงานอันนี้เพื่อประโยชน์กับเขา ทั้งๆ ที่เขามีโรงงานของเขา แต่เขาประกอบโรงงานของเขาขึ้นมาไม่ได้

“จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง” ไม่ใช่มันชุบมือเปิบเอากันง่ายๆ เอาการกระทำอย่างนั้น ศาสนามันอ่อนแอ มันอ่อนแอตรงนี้ไง อ่อนแอ ถ้าคนที่ไม่รู้จริง ไม่เห็นจริง ไม่ทำให้เกิดจากความจริงขึ้นมา มันก็คาดเดากันไป มันก็เป็นการอ่อนแอไปทางโลก แต่ถ้ามันจริงขึ้นมาแล้วนะ โลกจะหวั่นไหว กระแสโลกจะแรงขนาดไหน มันต้านกระแสโลกได้ เพราะโลกไม่จริง! โลกสมมุติ! แต่ในหัวใจนี้เป็นความจริง ความจริงมันกล้าเผชิญกับความสมมุติได้ทั้งหมด เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมาน่ะ ใจเราจริง เราถึงทำได้จริงๆ นะ

วันนี้เป็นวันมาฆบูชา เราให้ยึดมั่น ให้เชื่อมั่น เชื่อมั่นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอหิภิกขุ บวชมาเองกับมือ แล้วสอนมาเองจนเป็นพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ เราก็มีโอกาสของเรานะ เรามีหัวใจของเรา เรามีครูบาอาจารย์ของเรา มีศาสนาของเรา เป็นที่พึ่งของเรา เอวัง